หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รู้ความหมายของดอกไม้ ก่อนเอาไปใช้


          คุณรู้หรือไม่ว่าดอกไม้แทบทุกชนิดมีค่ามีความหมายในตัวเอง เราจึงได้นำความหมายดีๆ ของดอกไม้ที่นิยมมอบให้กัน มาฝาก ไม่แน่นะเราอาจจะได้ไอเดียเก๋ๆ หาดอกไม้ที่ถูกใจคู่รัก และมีความหมายในความรักของคุณและเขาก็ได้ เพราะความในใจบางอย่างที่แฝงมากับดอกไม้หนึ่งช่อที่คุณจะมอบให้กับคนพิเศษ ซึ่งแต่ละดอกในหนึ่งช่อดอกไม้นั้น หากคุณตั้งใจที่จะเลือกสรรเพื่อสื่อความในใจทั้งหมดที่มีอยู่ ดอกไม้แต่ละดอกอาจสื่อได้ดีกว่าคำพูดล้านคำ หรือคำพูดบางคำที่คุณอยากจะบอกแต่ยากที่จะพูดให้ดอกไม้บอกแทนก็ได้…

ความหมายของดอกไม้ชนิดต่างๆ

 
++ กุหลาบ
          กุหลาบแดงและขาวรวมกัน : ดอกไม้สำหรับสื่อความหมายให้รู้ว่า “สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน”
          กุหลาบสีชมพู : ดอกไม้สำหรับความงดงามและความอ่อนโยน
          กุหลาบสีเหลือง : เป็นดอกไม้ที่บอกเป็นนัยว่า “ขอเป็นชู้ทางใจ” หรือ หมายถึงความสุข สนุกสนาน ร่าเริง
          กุหลาบสีส้ม : ดอกไม้เพื่อบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมา 
          กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) : แทนคำว่า “เธอช่างสวยเหลือเกิน”
          กุหลาบสีขาว : ดอกไม้สำหรับบอกว่า “ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”
          กุหลาบตูมที่มีทั้งใบและหนาม : เป็นดอกไม้ที่บอกให้รู้ว่า “แม้ฉันจะวิตกอยู่บ้าง แต่รู้ว่าเธอคงไม่ปฎิเสธ”
          กุหลาบตูมที่ริดใบทิ้งหมด : ดอกไม้ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าน่ากลัวไปหมด
          กุหลาบตูมที่ริดหนามทิ้งหมด : ดอกไม้ที่แสดงให้เห็นถึงความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้น
          กุหลาบตูมสีแดง : ดอกไม้ที่แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไร้เดียงสา “รักของฉันเพิ่งแรกแย้ม และอ่อนต่อโลก”
          กุหลาบตูมสีขาว : ดอกไม้ที่แสดงถึงความมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก
          กุหลาบบานหนึ่งดอก และกุหลาบตูม 2 ดอก : เป็นดอกไม้ที่บอกว่า “นี่คือความรักที่ฉันแอบซ่อนไว้”
          กุหลาบบานสีแดง : ดอกไม้สำหรับบอกให้รู้ว่า “ฉันรักเธอเข้าแล้ว”
          กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว : เป็นดอกไม้ที่เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า “ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว”
          กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว : ดอกไม้สำหรับแทนความหมาย “เสน่ห์ของเธอมันจืดจางลงแล้ว”
          กุหลาบไร้หนาม : เป็นดอกไม้ที่สื่อให้รู้ว่า “เธอช่างมีเสน่ห์น่าหลงไหลแม้ยามแรกพบ”
          กุหลาบดอกเดียว : ดอกไม้สำหรับแทนความหมาย “รักฉันแม้เรียบง่าย แต่ก็มั่นคงกับเธอผู้เดียว”
++ คาร์เนชั่น
          คาร์เนชั่น สีแดง : เป็นดอกไม้ที่สื่อว่า “เห็นใจในความรักของฉันที่มีต่อเธอบ้าง” เป็นลูกออดอ้อนให้ใจอ่อน
สีชมพูหวาน : เป็นดอกไม้ที่สื่อว่า “ความรักของฉันกำลังจะผลิบาน โปรดถนอมหัวใจรักฉันด้วย”
คาร์เนชั่นลาย : ดอกไม้สำหรับปฏิเสธใครที่มาตามตื้อ ต้องรีบส่งไปเพราะมันหมายถึง “ไม่ได้คิดอะไรด้วยเลย”
คาร์เนชั่นที่ถูกดึงกลีบดอกออกไป : เป็นดอกไม้สำหรับการปฏิเสธความรักโดยสิ้นเชิง ประมาณว่า “ฉันไม่เคยคิดรักเธอเลย”
 
  
++ ทิวลิป
          ทิวลิป เป็นดอกไม้ที่หมายถึงการตกหลุมรักหัวปักหัวปำ ความรักที่ฉาบฉวยและจึดจางอย่างรวดเร็ว
          ทิวลิปสีแดง : ดอกไม้ที่สื่อว่า “อยากให้โลกรู้ว่าฉันรักเธอ” 
          ทิวลิปสีเหลือง : ดอกไม้ที่สื่อว่า มีหางเสียงเศร้าๆ ว่า “ฉันหมดหวังในรักเธอแล้วหรือไร” 
          ทิวลิปหลากสีในช่อเดียวกัน : ดอกไม้ที่หมายความว่า “ดวงตาแสนสวยของเธอทำให้ฉันคลั่งไคล้”  
++ ดอกลิลลี่
          ดอกลิลลี่ เป็นดอกไม้ที่แทนความรักอ่อนหวาน บริสุทธิ์ อ่อนไหวต่อโลก “เธอเป็นรักแรกของฉันนะ คนดี”
++ ดอกไอวี่
          ดอกไอวี่ เป็นดอกไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์และมั่นคงในรัก แต่ถ้าหนุ่มคนไหนต้องการขอสาวแต่งงานลองส่งดอก ไอวี่แทนใจก็ได้ เพราะอีกนัยหนึ่ง หมายถึงการแต่งงาน  
++ ดอกมะลิ
          ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง และอ่อนโยน มะลิ แทนความหมาย “เธอคือผู้ที่ฉันสุดรักสุดบูชา” หรือ “เธอคือดอกฟ้าผู้สง่างามและสูงส่ง”
++ กล้วยไม้
          เป็นดอกไม้ที่ไว้บอกภาษารักว่า “ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้”  
++ ดอกหญ้า
          คือดอกไม้ที่ใช้สื่อความรักที่เปี่ยมด้วยอิสระ แทนความว่า “ฉันรักเธอ แต่ขอเธออย่าผูกมัดฉันเลยนะคนดี”
++ ดอกบัว
          เป็นดอกไม้แทนความสงบและความบริสุทธิ์ใจ จึงเป็น “รักด้วยความศรัทธาและชื่นชม” 
++ ดอกแกลดิโอลัส
          เป็นดอกไม้ที่สมควรส่งให้สาวที่เข้มแข็ง และมีความมั่นใจ เพราะแทนคำว่า “เธอช่างเป็นสาวมั่นจริงๆนะ” และยังเหมาะที่จะใช้เป็นดอกไม้แสดงความยินดี แทนคำว่า “ยินดีด้วยสำหรับความสำเร็จ ครั้งนี้”
++ ดอกทานตะวัน
          ดอกไม้ที่แทนสัญญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม ถ้าได้รับดอกทานตะวันเหมือนได้รับสารว่า “แม้เธอจะเย่อหยิ่งเพียงไร แต่สักวันฉันจะชนะใจเธอ” และยังหมายถึง “รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์”
++ แดฟโฟดิล
          เป็นดอกไม้ที่เหมาะสำหรับความรักของเพื่อนแท้ คนรู้ใจ เพราะส่งแดฟโฟดิลเหมือนบอกว่า “น้ำใจไมตรี และความเอื้ออาทรของเธอ สมแลัวกับที่เป็นเพื่อนรักที่แสนดีของฉัน”
++ ดอกซ่อนกลิ่น
          ดอกไม้สำหรับคนที่มีรักซ้อนซ่อนใจ ไม่อาจเปิดเผย “ฉันแอบรักเธออยู่นะ” หรือ “ฉันหยิ่งเกินกว่าจะเอ่ยปากบอกรักกับเธอก่อน”
++ดอก Lilac
          ดอกไม้สำหรับการส่งให้กับความรักครั้งแรก

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากlucky-flower.com

น.ส.สุพัตรา ขันท้าว เลขที่ 21 ม.5/6

ฟักทอง น่ารู้

ประโยชน์ของฟักทอง


               ฟักทองถือเป็นพืชในตระกูลมะระชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวผลขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง ผิวไม่เรียบขรุขระเปลือกมีลักษณะแข็ง เนื้อในสีเหลืองมีเส้นใยอยู่ภายในเป็นสีเหลืองนิ่มพร้อมกับเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ประโยชน์ของฟักทองนั้นมีมากมายสามารถนำมาใช้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้ดี





สรรพคุณทางยาของฟักทอง
- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถ่อนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ

 

ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ

- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน

 

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง
            ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี วิธีใช้ให้เตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมงจะฆ่าพยาธิตัวตืดได้ หลังจากนั้นให้ยาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ควรรับประทานยาระบายน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะช่วยในการขับถ่าย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.vcharkarn.com


น.ส.สุพัตรา ขันท้าว เลขที่ 21 ม.5/6

คลายเครียด

                      "แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"
        เราได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์มาหลายสัปดาห์แล้วนะคะ พักเรื่องอาหารกันสักนิด วันนี้มีวิธีที่จะคลายความเครียดมาแนะนำเพื่อให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ดีไหมคะ


1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะคะ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้
     กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยค่ะ 

 2. พูดระบายความเครียด -- พูดค่ะ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยค่ะ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะค่ะ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดค่ะ ี

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะคะว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะคะ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่
1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์

2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก
3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์

3.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน


5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงค่ะ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ


6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะค่ะ


7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราป
-- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ค่ะ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวคะ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ

9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน

10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย


   ทางออกของความเครียดยังมีอีกมากมายค่ะ แต่10วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือ มีสติ หากรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดแล้วก็ต้องหยุดแล้วลองใช้10วิธีที่แนะนำมาใช้นะคะ



http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=626


น.ส.วิภาวี พุทธรักขิโต เลขที่ 19 ม.5/6

ดอกไม้

ดอกไม้ประจำวันเกิด




ดอกไม้ประจำวันเกิด





          วันนี้เรามีดอกไม้ ประจำวันเกิดมาให้อ่านกันค่ะ … ใครเกิดวันไหน ตรงกับต้นไม้ หรือดอกไม้อะไรก็อย่าลืมไปหามาปลูกนะคะ 


        เกิดวันอาทิตย์ 


          ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม 


          ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์


          คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย 



        เกิดวันจันทร์ 
          ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี 


          ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชนิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน 
 


        เกิดวันอังคาร 
          ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข


          ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้ 


        เกิดวันพุธ


          ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรักสันติภาพ


          ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชนิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน 


        เกิดวันพฤหัสบดี 


          ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ 


          ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ 


        เกิดวันศุกร์ 
          ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน


          ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอเลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง 


        เกิดวันเสาร์ 
          จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด 


          ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว


น.ส.วิภาวี พุทธรักขิโต เลขที่ 19 ม.5/6

มะรุมพืชมหัศจรรย์

มะรุม
           เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น
ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด

สรรพคุณ :
ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม                                                                                                                                     เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)
ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
      - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ภาคเหนือเรียก “มะค้อมก้อน” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้ทให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง “ผงนัว” กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

คุณค่าทางอาหารของมะรุม มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
วิตามินเอ                          บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี                        ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม        บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม    บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุมสรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น

ชะลอความแก่ กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์ สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)
ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้


น.ส.สุพัตรา ขันท้าว เลขที่ 21 ม.5/6

เคล็ดลับยาสมุนไพรรักษาโรค

เผย 28 เคล็ดลับยาสมุนไพรรักษาโรค

          การใช้สมุนไพรเป็นยาบำบัดโรคนั้นอาจใช้ ในรูปยาสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือใช้ในรูปตำรับ ยาสมุนไพร ปัจจุบันตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้รักษาโรคได้มีทั้งหมด 28 ขนาน เช่น

          ยาจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ แก้ตัวร้อน

          ยามหานิลแท่งทอง ใช้แก้ไข้ แก้หัด อีสุกอีใส

          ยาหอมเทพพิจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ

          ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย

          ยาประสะมะแว้ง แก้ไอ ขับเสมหะ

          ยาตรีหอม แก้ท้องผูกในเด็ก ระบายพิษไข้

สมุนไพรที่นิยมใช้เดี่ยวๆ รักษาอาการของโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่

          สมุนไพรแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด

          สมุนไพรแก้ท้องเสีย กล้วยน้ำว้า ทับทิม ฝรั่งดิบ

          สมุนไพรแก้ไอ มะแว้ง ขิง มะนาว

          สมุนไพรแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขมิ้นชัน แห้วหมู กระชาย

          สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ ขี้เหล็ก ดอกบัวหลวง หัวหอมใหญ่

          สมุนไพรแก้เชื้อรา กระเทียม ข่า ชุมเห็ดเทศ

          สมุนไพรแก้เริม เสลดพังพอนตัวเมียและตัวผู้

สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า

          1.ว่านหางจระเข้ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุด      ด่างดำ รักษาสิว

          2.แตงกวา : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น

          3.มะเขือเทศ : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ

          4.ขมิ้นสด : บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย  และช่วยให้สิวยุบเร็ว

          5.กล้วยน้ำว้าสุก : บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย

          6.หัวไชเท้า : ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

สมุนไพรที่มีสารต้านเซลล์มะเร็ง

          มะกรูด ผักแขยง ขึ้นฉ่าย บัวบก ผักชีฝรั่ง กระชาย   ข่าใหญ่ มันเทศ ใบมะม่วง มะกอก เบญจมาศ แขนงกะหล่ำ แตงกวา พริกไทย ดีปลี โหระพา กะเพรา ใบตะไคร้ ถั่ว ผักแว่น ผักขวง เพกา ช้าพลู (ชะพลู) ลูกผักชี เร่ว เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ฯลฯ

สมุนไพรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (วิตามินเอ ซี อี)

          วิตามินเอสูง ได้แก่ ใบยอ ใบย่านาง ตำลึง ผักกูด มะระ กระสัง ผักแพว ผักชีลาว ผักแว่น ผักบุ้ง เหลียงกระเจี๊ยบแดง แมงลัก ชะอม พริกชี้ฟ้าแดง แพงพวย ขี้เหล็ก ฯลฯ

          วิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง มะปราง ขนุน ละมุด มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า พุทรา ฯลฯ

          วิตามินอีสูง ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น งาดำ ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าว ข้าวโพด ฯลฯ

          เบตาแคโรทีนสูง ได้แก่  แคร์รอต ฟักทอง แค กะเพรา แพชั่นฟรุต ขี้เหล็ก ผักเชียงดา ยอดฟักข้าว ผักแซ่ว ฯลฯ

สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

          พืชสมุนไพร บวบขม จำปีป่า ปลาไหลเผือก ทองพันชั่ง เจตมูลเพลิงแดง ราชดัด ฝาง แสมสาร ติงตัง ขมิ้นต้น  ฟ้าทะลายโจร กระเทียม ประยงค์ รงทอง ข่อย ขมิ้นชัน แกแล สมอไทย ขันทองพยาบาท

          เครือเถาวัลย์ ดองดึง โล่ติ้น เจตมูลเพลิงขาว มังคุด โทงเทง ทับทิม จำปา ไพล ปรู จำปีหลวง พลับพลึง สบู่ดำ แพงพวยฝรั่ง    สีเสียด กะเม็ง สมอพิเภก

สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง

          ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้

          หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง

ข้อควรระวัง

          1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ

          2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้

          3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น

          4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น

          5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย

          หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)

          หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

สรรพคุณสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด

          1.น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่าน้ำมัน เมล็ดดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลส  เตอรอลในเลือดลดลงและลดการอุดตัน ไขมันในหลอดเลือดได้

          2.กระเทียม มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ลด ไขมันในหลอดเลือดได้ ซึ่งจะใช้กระเทียม ประมาณ 5-7 กลีบ รับประทานหลังอาหารทุกมื้อ เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดจะลดลง

          3.ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองจะมีกรด อะมิโน เลซิติน และวิตามินอีสูง จะช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด

การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดโรคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

          1.การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ อาหาร สมุนไพร ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด

          2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

          3.การพักผ่อนให้เพียงพอ

          4.ตรวจร่างกายประจำทุกปี

สรุปรายชื่อสมุนไพรที่ควรใช้ในรูปอาหารกับโรคเบาหวาน ได้แก่

          บอระเพ็ด มะระไทย ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ มะแว้ง เครือมะแว้ง ต้นตำลึง  ฟ้าทะลายโจร สะตอ ว่านหางจระเข้ แมงลัก อินทนิลน้ำ หอมใหญ่ กระเทียม หญ้าหนวดแมว เตยหอม ฝรั่ง ช้าพลู ขี้เหล็ก สะเดา ผักบุ้ง สักกำแพงเจ็ดชั้น มวกแดง-ขาว ชะเอมไทย รากลำเจียก รากคนทา

          หมายเหตุ - การรักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการใช้ยาลดระดับน้ำตาลร่วมกับยาแผนปัจจุบันอาจจะทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป เป็นอันตรายได้ จึงแนะนำให้ใช้สมุนไพรในรูปของการปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน

สมุนไพรกับโรคเอดส์

          รายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคเอดส์มีการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรหลายชนิด

          โปรตีนจากระหุ่ง แม้ว่าจะมีพิษแต่ก็มีผู้พบว่าส่วนหนึ่งของโปรตีน Ricin ซึ่งเป็นพิษคือ dg A สามารถจับ antibody ของ HIV ซึ่งทำให้ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยมีผลต่อเซลล์ปกติเพียง 1/1,000 ของเซลล์ที่มีไวรัส

          การค้นพบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพบยาที่ป้องกันหรือยืดเวลาในการเกิดโรคเอดส์

          Hypericum spp.

          พืชสกุลนี้บ้านเรามี บัวทอง (Hyperi cum garrettii Craib) มีผู้สกัดสาร Hypericin และ Pseudohypericin จากพืชนี้ พบว่ามีฤทธิ์ป้องกันการขยายตัวของไวรัสเอดส์

          Castanospermun australe

          Tyms และคณะได้พบว่าแอลคาลอยด์ 3 ชนิด มีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสจับกับ T-cells ซึ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแอลคาลอยด์ที่ให้ผลดีที่สุดคือ Castanospermine จาก Castanospermum australe ไม้ยืนต้นของออสเตรเลีย และสารนี้มีพิษน้อย มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย

          ยังไม่มีสมุนไพรใดที่ใช้รักษาโรคเอดส์ได้จริงจัง ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งบางอย่างก็ทดลองโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาสมุนไพร ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการจะค้นพบยารักษาโรคนี้




ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

น.ส.วิภาวี พุทธรักขิโต เลขที่ 19 ม.5/6

เที่ยวเกาะล้าน

เกาะล้าน


ถ้าพูดถึงพัทยาผมคิดว่าคงไปกันบ่อยแล้ว แต่วันนี้ผมจะพาข้ามฝั่งพัทยาไปยัง เกาะล้าน ห่างจากฝั่งพัทยาประมาณ 7 กิโลเมตร นั่งเรือก็ประมาณ 45 นาทีสำหรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ หรือ 15 นาทีสำหรับเรือสปีดโบท คุณจะได้พบกับชาดหาดที่สะอาด ที่มีน้ำใส และยังเป็นแหล่งดูปะการังอีกด้วย ถ้าสนใจก็ตามผมมาเที่ยวกันเลยครับ
สำหรับทริปนี้จะขับรถไปเองหรือไปรถโดยสารก็สะดวกไปหมด วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 ออกเดินทางแต่เช้ามืดเพื่อที่จะไปขึ้นเรือรอบ 8 โมง เราใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ ขับยาวไปถึงพัทยา ค่าผ่านทาง 30+30 ครับ ตอนนี้ถนนมอเตอร์เวย์สร้างเสร็จหมดแล้ว ขับสบายมาก แต่ยังไงก็อย่าใช้ความเร็วมากนะครับ
จากพัทยาเหนือไปพัทยาใต้ จะเห็นป้ายไปพัทยาใต้ให้เลี้ยวขวาเข้าไปเลย เสร็จแล้วก็เลี้ยวซ้ายที่ไฟแดงแรก ตรงไปเรื่อยๆจะข้ามสะพานไปโผล่ตรงท่าเรือแหลมบาลีฮาย (Balihai) ถ้าอ่านแล้วยังงงๆ ดูแผนที่ที่ด้านล่างของหน้านี้เลยนะครับ เมื่อถึงท่าเรือแล้ว ใครจะจอดรถตรงท่าเรือก็ได้เลยนะครับที่จอดฟรี แต่มีที่จอดไม่เยอะ แต่ถ้าเอาความสบายใจก็เลี้ยวขวาเข้าไปจอดตรงด้านในดีกว่า สังเกตตึกสีฟ้าๆ นี่แหล่ะครับที่จอดรถ ถ้าเลยตรงเข้าไปก็จะเป็น Walking Street ที่เที่ยวยามค่ำคืนของพัทยา เราเข้าไปกันเลยดีกว่า
ค่าจอดรถยนต์ ชั่วคราว 40 บาท ค้างคืน 100 บาท
ค่าจอดมอเตอร์ไซค์ ชั่วคราว 20 บาท ค้างคืน 40 บาท
ที่จอดรถที่ตึกฟ้าจอดได้ประมาณ 100 คัน ที่จอดประจำเป็นรายเดือนก็เยอะ คาดว่าคงจะเป็นรถของคนบนเกาะล้าน ฉะนั้นจะเหลือช่องจอดสำหรับนักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่นัก ถ้าใครมาแต่เช้า ซัก 7.00-8.00 โมง ก็จะได้จอดในช่องไป แต่ถ้ามาสายซัก 10 โมง รถจะเยอะมากต้องจอดซ้อนคัน ติดๆ กันไป แล้วต้องฝากกุญแจไว้ให้เค้าเลื่อนรถด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องฝากกุญแจนะครับ เฉพาะเจ้าของที่จอดรถเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เลื่อนรถ
ส่วนริมถนนรอบๆ เขาพระตำหนัก ก็พอจะจอดรถได้ครับ มีคนมาจอดค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าจอดค้างคืนก็ดูจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

ซ้าย : ที่ฝากรถก่อนข้ามไปเกาะล้าน ขวา : เซเว่นที่แหลมบาลีฮายก่อนข้ามไปเกาะล้าน
ทริปเกาะล้านจะไปเช้าเย็นกลับหรือค้างบนเกาะก็ได้ หลังจากจอดรถแล้วก็เดินออกมา เดินไปทางซ้ายจะมีที่ขายอาหารทะเลอยู่ซ้ายมือ ถ้ากลัวว่าของบนเกาะจะแพงก็ซื้อจากตรงนี้ข้ามไปกินบนเกาะก็ได้ เซเว่นอีเลฟเวนก็มี แต่ถ้าไปกันแค่ 2 คนไปซื้อเอาบนเกาะก็ได้ครับ สะดวกดี สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการนั่งเรือจะกินยาแก้เมากันไว้ก่อนก็ดีเหมือนกัน

เมื่อจอดรถเสร็จแล้วก็เดินออกมาตรงนี้แหล่ะครับท่าเรือแหลมบาลีฮาย เดินเข้าไปด้านในเลย
ก่อนที่จะขึ้นเรือจะมีตู้ ATM ของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ทางซ้ายมือ แนะนำว่าให้เปิดกระเป๋าเช็คดูหน่อยว่าเงินพอไหม ถ้าไม่พอก็กดตรงนี้ได้เลย แต่บนเกาะล้านก็มีตู้ ATM ธ.กสิกรไทย อยู่ที่ท่าเรือหน้าบ้าน และหาดตาแหวน ล่าสุดมีธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) เพิ่มขึ้นมาใหม่ที่ท่าหน้าบ้านด้วย

ซ้าย : ทางเดินไปขึ้นเรือ กลาง : เรือโดยสารข้ามไปเกาะล้าน ขวา : ตู้ ATM ธนาคารนครหลวงไทย
สำหรับค่าโดยสารก็ไปจ่ายกันก่อนขึ้นเรือ คนละ 30 บาทเท่านั้น ย้ำอีกครั้งนะครับว่าจ่ายตรงที่ขึ้นเรือเลย เรือข้ามไปเกาะล้านเป็นเรือลำใหญ่ 2 ชั้น นั่งได้เป็น 100 คน มีเสื้อชูชีพอยู่ด้านบนเพดานของเรือ สำหรับคนที่ใจร้อนก็มีสปีทโบ๊ท (Speed Boat) บริการไปเกาะล้านคนละ 150 บาท ซึ่งขับค่อนข้างเร็ว ไม่แนะนำครับ แต่ถ้ารีบก็ใช้บริการสปีทโบ๊ทกันได้
ใครที่พาสุนัขมาด้วย สุนัขไม่เสียค่าเรือนะครับ ขึ้นเรือฟรีเลย

เรือรอบแรกออกเวลา 7.00 น. ท่าเรือใหญ่บนเกาะล้านจะมีอยู่ 2 ท่าคือ ท่าเรือหน้าบ้าน กับ ท่าเรือหาดตาแหวน เรือจะไปจอดสลับกันไประหว่าง หาดตาแหวน กับ ท่าเรือหน้าบ้าน แต่ 2 ท่านี้ก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่

เมื่อถึงเวลาแล้วเรือก็ออก เราจะเห็นป้าย Pattaya City อยู่บนภูเขา สังเกตว่าฝรั่งมาเที่ยวเกาะล้านเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะชาวรัสเซีย เรือบางลำมีชาวต่างชาติมากกว่าคนไทยเสียอีก เกือบจะถึงเกาะล้านจะเห็นเกาะครกกับเกาะสาก เข้าใจตั้งชื่อจัง และแล้วเราก็มาถึงเกาะล้านแล้ว เรือเทียบท่าที่หาดตาแหวน
ใครที่สนใจเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวรอบเกาะก็เช่าตรงนี้เลยก็ได้ครับ ราคา 200 บาทต่อวัน ถ้าเจอราคาแพงกว่านี้ลองดูเจ้าอื่นนะครับ 250-300 ให้ Say no อย่างเดียว สำหรับราคาแบบค้างคืนประมาณ 350-400 บาท มีให้เช่าทั้งแบบเกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดา ถ้าเช่าแบบค้างคืนเค้าจะขอบัตรประชาชนไว้มัดจำด้วย แนะนำนิดนึงว่าถ้าค้างคืนบนเกาะล้านที่พักเกือบทุกที่จะมีมอเตอร์ไซค์ให้เช่า เช่ากับทางรีสอร์ทจะต่อรองได้มากกว่าครับ หรือบางที่แถมมอเตอร์ไซค์ให้ขับฟรีๆเลย

สำหรับคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น ที่เกาะล้านก็มีสองแถวบริการด้วย จากป้ายราคาอยู่ที่จุดละ 40 บาท ถ้าไปเที่ยวไม่กี่ทีไปสองแถวอาจจะประหยัดกว่าอีก ผมเคยนั่งสองแถวจากหาดตาแหวนไปท่าหน้าบ้านเค้าคิดคนละ 20 บาท ถูกกว่าราคาในป้ายอีก สงสัยราคาในป้ายเป็นราคาฝรั่ง

สำหรับใครที่ไปเช้าเย็นกลับเหมือนผมแล้วมีของพะรุงพะรัง ในร้านใหญ่ๆแทบทุกร้านจะมีล็อกเกอร์ให้เช่า 50 บาท เอาของไปฝากแล้วไปเที่ยวรอบเกาะ ก็สะดวกดีค่ะ

หาดตาแหวน

ฉันประเดิมมื้อแรกของวันนี้ด้วยก๋วยเตี๋ยวหมูที่หาดตาแหวน รสชาติอร่อยใช้ได้เลยละ ชามละ 50 บาท ของกินที่หาดตาแหวนค่อนข้างแพงครับ แล้วก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ หาดตาแหวนจะยาว และมีนักท่องเที่ยวมากที่สุด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเกาหลี ไต้หวัน และจีน ของกินก็มีให้เลือกกินมากมาย แต่แนะนำว่าให้ถามราคาก่อนซื้อดีกว่านะครับ โดยเฉพาะอาหารทะเล ราคาจะแพงเป็นพิเศษ ดูรูปหาดตาแหวนกันไปพลางๆก่อนค่ะ


ห่วงยางสีสดใสที่เกาะล้าน มุมถ่ายรูปยอดนิยมของเกาะล้าน

เกาะล้าน น้ำใสจริงๆนะ ไม่เชื่อลองดูซิ

สำหรับใครที่จะอาบแดดก็ใช้บริการเตียงผ้าใบด้านหน้าเลย ส่วนมากจะเห็นแต่ฝรั่งชอบมาอาบแดดกัน สำหรับคนไทยชอบนอนในร่มมากกว่า ราคาเตียงผ้าใบแบบมีเบาะ 100 บาท/ตัว อยู่แถวหน้าติดทะเล และแบบธรรมดา 20 บาท/ตัว เหมือนผ้าใบที่บางแสน จะอยู่ห่างจากทะเลหน่อย มีคูปองให้เข้าห้องน้ำฟรีด้วย

ที่หาดตาแหวนมีห้องน้ำ และที่อาบน้ำจืด สุขาราคา 10 บาท ส่วนอาบน้ำ 40 บาท น้ำจืดบนเกาะค่อนข้างแพงครับ ยูนิตละ 70 บาท

จากหาดตาแหวนสามารถเดินไปหาดสังวาลย์ได้ ถ้าหันหน้าไปทางทะเล เดินไปทางซ้ายจะเป็นหาดสังวาลย์ หาดสังวาลย์จะสั้นประมาณ 150 เมตรนักท่องเที่ยวชอบมาอาบแดดที่หาดนี้ ถ้าชอบเล่นน้ำผมว่ามาหาดตาแหวนดีกว่า จากหาดตาแหวนเห็นมีเส้นทางไปหาดทองหลางอยู่ แต่พอเดินไปทางขาดซะงั้น เหมือนเจอคลื่นแรงๆซัด ทางเดินเลยขาด

หาดสังวาลย์


ระหว่างทางไปหาดสังวาลย์มีสะพานไม้ยื่นไปในทะเล เห็นแล้วสวยดีแวะถ่ายรูปซะหน่อย

มุมเงียบๆ ส่วนตัว ที่หาดสังวาลย์ในตอนเช้า สายๆ จะเต็มไปด้วยเตียงผ้าใบ และนักท่องเที่ยว
หลังจากสอบถามราคาวินมอเตอร์ไซค์ เราเลยตัดสินใจว่าเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเล่นเที่ยวรอบเกาะดีกว่า ที่เช่ามอเตอร์ไซค์ของหาดตาแหวนจะอยู่เลยจากท่าเรือหาดตาแหวนไปประมาณ 300 เมตร เป็นที่จอดมอเตอร์ไซค์ของหาดตาแหวนด้วยครับออกจากที่จอดรถก็เป็นถนนเลย

พื้นที่บนเกาะล้านประมาณ 4 ตารางกิโลเมตรขับมอเตอร์ไซค์ซักครึ่งวันก็ไปได้รอบเกาะแล้วครับ ถนนบนเกาะล้านเป็นทางปูด้วยอิฐตัวหนอนตลอดทาง ขับได้สบายไม่อันตราย จะมีเนินบ้าง โค้งหักศอกก็มีนานๆที ขับช้าๆ ครับค่อยๆไป ขึ้น-ลงเขาใช้เกียร์ต่ำ รับรองปลอดภัย สำหรับคนที่ขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นจะใช้บริการพี่วินหรือสองแถวก็ได้ครับ ราคาพอๆกัน

เคยอ่านเจอมาว่าที่ทำถนนด้วยอิฐตัวหนอนเพราะง่ายกับการซ่อมแซม และเพิ่มแรงเสียดทานไม่ให้ถนนลื่น

หาดนวล


อันนี้หาดนวลครับ อยู่ทางใต้ของเกาะล้าน ยาวประมาณ 250 เมตร ทรายละเอียด หาดนี้มีปะการังด้วยครับ ที่นี่ชาวต่างชาติมากกว่าคนไทยเสียอีก ฝรั่งชอบมาอาบแดดที่หาดนี้ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เคยอ่านเจอมาว่าหาดนี้เป็นของเอกชน
แต่ก่อนหาดนี้มีที่พักชื่อว่า โรงแรมเกาะล้านรีสอร์ท แต่ตอนนี้ปิดไปนานแล้วครับ โรงแรมแห่งนี้น่าจะเป็นที่พักแรกๆ ของเกาะล้านเลย เสียดาย ถ้าโรงแรมนี้ยังอยู่คงเป็นโรงแรมที่น่าไปพัก เพราะทำเลดี
สำรวจบริเวณหาดกันหน่อย

เรือสปีทโบ๊ท สามารถเช่าเหมาลำไปดำน้ำตามจุดต่างๆรอบเกาะล้าน หรือไปชมเกาะครก เกาะสาก
ถ้าใครมาหาดนวลตอนนี้เป็นป่า 2 ข้างทางถูกถางจนโล่ง ยาวไปถึงหาด ไม่ต้องตกใจนะครับ เค้ากำลังทำโรงแรมหรู 5 ดาว บนเกาะล้าน เป็นเมกะโปรเจค 3,000 ล้าน หาดนวลตอนนี้ก็จะเงียบๆ ไม่มีร้านค้าบริการ ไม่มีคนเล่นน้ำ รูปที่เห็นด้านบนเป็นรูปเก่านะครับ สมัยที่ยังเปิดเป็นหาดให้คนมาเที่ยวอยู่

จุดชมวิวบนเขาหน้ายักษ์ระหว่างทางไปหาดนวล
ที่จุดชมวิวเราจอดรถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปถ่ายรูปวิว มีกลุ่มวัยรุ่นมากันหลายคนได้ มีผู้หญิงคนนึงครับ กระโดดกลางอากาศแล้วให้เพื่อนถ่ายรูปให้ แล้วก็ฮาตรงที่ว่ารองเท้ากระเด็นกระดอน ตกเขากลิ้งไปหลายเมตร เรียกเสียงหัวเราะได้จากคนแถวนั้นได้อย่างดี แต่ยังดีที่ว่ามีเพื่อนผู้ชาย เกาะต้นไม้ลงเขาไปเก็บมาให้ ถ้าจะกระโดดถ่ายรูปตรงนี้ก็ระวังกันหน่อยนะครับ

หาดแสม

จากหาดนวล เราก็ไป หาดแสม (อ่านว่า Samae นะ) หาดยาวประมาณ 700 เมตร เป็นหาดที่ใหญ่รองมาจากหาดตาแหวน ที่หาดนี้เป็นสถานที่ตั้งของอาคารปลากระเบน สำหรับควบคุมการผลิตไฟฟ้าด้วยโซล่าเซลล์และ กังหันลม สองข้างทางจะเป็นป่า มีชุมชนบ้าง ระหว่างทางเจอที่พักหลายที่เลย สไตล์ที่พักบนเกาะล้านเหมือนอพาตเมนต์หรือหอพัก ประมาณนั้น สร้างกันง่ายๆ ไม่มีตึกสูงๆ ไม่มีบริเวณหรือสระว่ายน้ำ ถ้าใครกินง่ายนอนง่าย ก็มาขี่มอเตอร์ไซค์หาที่พักเองก็ได้ยังไงก็มี หรือถ้าไม่ถูกใจจะกลับไปพักฝั่งพัทยาก็ได้


หาดแสมจะมีเครื่องเล่นด้วย แต่ไม่ได้ให้เล่นฟรีนะ รู้สึกว่า 150 บาท เลยไม่ค่อยมีคนเล่นเท่าไหร่นัก เท่าที่ทราบเจ้าเครื่องเล่นนี้ไม่ได้ประจำที่หาดใดหาดหนึ่งอาจจะย้ายไปหาดตาแหวนหรือหาดอื่นก็ได้ หาดนี้เป็นที่นิยมของฝรั่งเหมือนกัน นอนอาบแดดกันเต็มเลย
ตอนนี้มีที่พักเปิดใหม่อยู่ที่หาดแสม ชื่อ XANADU resort ทราบมาว่าเป็นของลูกเสธ. หนั่น ทำห้องน่าพักดีครับ แต่ราคาแพงไปนิดนึง
ระหว่างหาดแสมและหาดเทียนจะมีบ้านพัก แหลมทองรีสอร์ท (บ้านป่าไม้) เป็นบ้านหลังใหญ่ มี 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ เป็นหนึ่งในที่พักที่คนไม้ค่อยรู้ บ้านหลังนี้อยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวทะเล พักได้เป็น 10 คน ใครที่จะไปเที่ยวกันหลายๆ คน ส่งเสียงดังหน่อย ลองติดต่อที่นี่ดูครับ

สำหรับหาดสุดท้ายที่เราจะพาไปชมกันคือหาดเทียน ขี่มอเตอร์ไซค์จากหาดแสมไปเพียง 5 นาทีเท่านั้น อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ หาดนี้ก็สะอาดน้ำทะเลสีฟ้า-เขียว สวยมาก ยาวประมาณ 500 เมตร แต่ความรู้สึกว่าน้ำไม่ใสเหมือนหาดอื่น

หาดเทียน


หาดเทียน คนค่อนข้างน้อยเหมือนเป็นหาดส่วนตัวเลย รูปด้านล่างฝรั่งกำลังถ่ายรูปลูกเค้าที่กำลังจะเล่นบานาน่าโบ๊ทอยู่ ดูท่าทางน่าสนุก

ขาออกจากหาดเทียนแวะจุดชมวิวถ่ายรูปซะหน่อย
สำหรับทริปนี้เราพลาดไป 1 หาด คือหาดตายาย เท่าที่หาข้อมูลมา เป็นหาดส่วนตัว น้ำใสมากเช่นกัน มีหินกรวดเล็กๆ ที่หาด ถ้ามีโอกาสได้ไปอีกครั้งจะเอารูปหาดตายาย มาฝากครับ

จากนั้นเราก็ไปเตร็ดเตร่กันต่อที่ท่าเรือหน้าบ้าน ท่าเรือหน้าบ้านจะมีลักษณะเป็นชุมชม มีที่พักเยอะมาก แต่ที่ท่าหน้าบ้านเล่นน้ำไม่ได้นะ ไม่มีหาด เป็นเลนแต่น้ำก็ใสอยู่เหมือนกัน ถ้าใครชอบความสงบเงียบ คงไม่เหมาะซักเท่าไหร่ รีสอร์ทจะอยู่ติดๆกันลักษณะเป็นชุมชน แต่ข้อดีของที่นี่คือหาของกินง่าย ราคาไม่แพง แถมยังมีเซเว่นอีเลฟเว่นและตู้ ATM อีกด้วย

ชุมชนท่าเรือหน้าบ้าน


อ้อ… มีเรื่องประทับใจเล็กๆน้อยๆ บนเกาะล้านมาเล่าให้ฟังด้วยครับ ก่อนจะขึ้นเรือผมไปเดินหายาแก้เมาเรือ เดินเข้าไปถามในเซเว่นว่ามียาแก้เมาเรือไหม

ผม : มียาแก้เมาเรือไหมครับ
สาวเซเว่น : ไม่มีคะ พี่จะเอากี่เม็ดละ
ผม : 1 เม็ดครับ (คิดในในว่า เจอกวนซะแล้ว ไม่มีขายแล้วจะถามทำไม)
สาวเซเว่น : หยิบยาแก้เมาของเค้ามาให้ ผมจะขอซื้อเค้าก็ไม่เอาเงิน

ผมอยากจะขอบคุณในน้ำใจเล็กๆ น้อยๆที่หยิบยื่นให้ นี่แหล่ะครับที่เป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาเที่ยวอีก ถ้าสาวเซเว่นคนนั้นมาอ่านผมอยากจะบอกว่า ผมประทับใจมากครับ
เราเอามอเตอร์ไซค์เช่าไปจอดคืนไว้หน้าเซเว่น เค้าบอกให้เราเสียบกุญแจค้างไว้อย่างงั้นแหล่ะ ไม่หาย ก็เลยโทรบอกพี่เค้าหน่อยว่าเราเอารถมาคืนแล้วนะ เรากลับเรือรอบบ่าย 2 ลักษณะเรือก็เหมือนกันกับขาไป เป็นเรือ 2 ชั้น ถ้าอยากดูวิวสวยๆ ก็เลือกนั่งชั้น 2 เลย จ่ายค่าเรือกันตรงหน้าเรือแหล่ะครับ ไม่ต้องซื้อตั๋ว
อัพเดทเพิ่มเติม หาดตายาย ไปมา 4/4/10
เนื่องจากต้องการให้เป็นข้อมูลเกาะล้านที่ครบถ้วน ละเอียดที่สุดเลยไปเกาะล้านอีกรอบ ไปที่หาดตายาย จากท่าหน้าบ้านเลี้ยวไปทางขวามือ ดูป้ายไปสนามยิงปืน หาดตายายจะอยู่เลยสนามยิงปืนไปอีกหน่อยครับ ขี่มอเตอร์ไซค์จากท่าหน้าบ้านไปประมาณ 15-20 นาที ไปง่ายๆ ไม่ต้องขึ้นลงเข้าครับ ทางดี

หาดตายาย

หาดตายาย เป็นหาดที่สั้นๆ มีทรายขาว น้ำใส และโขดหินสวยๆ หาดนี้เหมาะกับคนที่ชอบความสงบ ก่อนเข้าหาดจะเขียนไว้เลยว่า “หาดปิดเวลา 18.30 น. กรุณาอย่าส่งเสียงดัง อ่านให้ชัดเจน!!” มีย้ำด้วยว่าอ่านให้ชัดเจน
สำหรับสิ่งอำนวนความสะดวกในหาดนี้ หาดนี้มีร้านค้าอยู่ที่หาด 1 ร้านครับ มีห่วงยางและเตียงผ้าใบให้เช่า

ถ้าไม่นั่งเตียงผ้าใบจะหลบมานั่งบนก้อนหินใต้ต้นไม้ก็ได้ครับ

ฝรั่งก็มาเล่นน้ำที่หาดนี้เหมือนกัน

น้ำใสมากๆ ถ้าถามความเห็น หาดไหนในเกาะล้านสวยสุด ผมโหวตให้หาดตายายครับ

ร้านอาหารและเตียงผ้าใบที่หาดตายาย เงียบมาก แทบจะไม่มีคนเลย

สถานธรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเกาะล้าน

นอกจากทะเลสวยๆแล้ว เกาะล้านยังมีสถานปฏิบัติธรรมที่ตั้งอยู่บนยอดเขา น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบ หรือจะมาชมวิวหาดตาแหวนจากมุมสูงก็ได้ครับ
การเดินทาง จากหาดตาแหวนให้สังเกตุร้านหมูกะทะทางขวามือ ตรงข้ามร้านหมูกะทะเป็นทางบันไดลงหาดตาแหวน พอถึงร้านหมูกะทะก็ชิดขวาเลยครับ จะเห็นป้ายสถานปฏิบัติธรรม เลี้ยวขวาได้เลย ทางจะเป็นถนนทางลูกรัง 2 ข้างทางเปลี่ยวนิดหน่อย แนะนำให้ไปช่วงกลางวันครับ

จากนั้นจะเจอองค์เทพสีดำ (ไม่แน่ใจว่าเรียกชื่อถูกเปล่า) ขี่รถขึ้นไปอีกจะเจอ และองค์พระฤาษี  ให้จอดรถแล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปด้านบน (ประมาณ 200 ขั้น) จะเป็นที่ตั้งของสถานปฏิบัติธรรม

รูปปั้นพระสังกัจจายน์ แกะสลักจากหินตรงนั้น

รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม จากรูปปั้นฤาษีเดินไปทางขวาเรื่อยๆครับจะเจอกับเจ้าแม่กวนอิม
ขอบคุณรูปภาพเพิ่มเติมจากพี่ป๊อป poprc100

สรุป ถ้าคุณต้องการไปเที่ยวทะเลสวย น้ำใส ใกล้ๆกรุงเทพฯ ฉันคิดว่าเกาะล้านน้ำใส สะอาดที่สุดแล้ว น่าจะสวยกว่าเกาะเสม็ด หัวหิน ที่ผมเคยไปซะอีก มีกิจกรรมลากร่มชูชีพ ขับเจ๊ทสกี เล่นบานาน่าโ๊บท ดำน้ำดูปะการัง หรือจะเหมาเรือไปเที่ยวเกาะครก เกาะสากก็ได้ เที่ยวได้ในงบประมาณที่ไม่แพง แต่ถ้าต้องการหาที่พักหรูๆ บนเกาะล้านคงไม่ค่อยมี การเดินทางก็สะดวกสบายมาก เที่ยวทะเลปีนี้ลองไปเกาะล้านดูนะค่ะ รับรองว่าไม่ผิดหวัง


น.ส.ศรัณยา ประเสริฐสังข์ ม.5/6 เลขที่ 20